มะรุม |
ปัจจุบันอุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งลำไส้
ใหญ่ในประเทศไทยมีอัตราสูงและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จากรายงานเมื่อปี พ.ศ. 2553 พบว่าเพศชายมีอัตราการป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงกว่าเพศหญิง
ของอัตราการป่วยโรคมะเร็งทั้งหมด ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการบริโภคของคนไทย
โดยนิยมกินอาหารที่มีโปรตีนสูงซึ่งมีแหล่งที่มาจากเนื้อแดง
รวมทั้งผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน
และกินผักผลไม้ในปริมาณต่ำ
การบริโภคฝักมะรุมซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านภาวะการอักเสบ จึงเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกัน
นอกจากนี้ฝักมะรุมยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ
คือมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่เรียกว่า โอเมก้า 9 ในปริมาณสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
ผศ.ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่
อาจารย์สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และเลขาธิการสมาคมพิษวิทยาแห่งประเทศไทย
บอกว่า จากรายงานการวิจัยพบว่า
น้ำมันที่อยู่ในเมล็ดมะรุมสามารถรักษาโรคข้างเคียงเกี่ยวกับผิวหนัง
นอกจากนี้ในส่วนต่าง ๆ ของมะรุมยังสามารถรักษาโรคไขข้ออักเสบหรือรูมาตอยด์
กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและช่วยปรับสมดุลของร่างกาย
ถือเป็นยาสมุนไพรที่ใช้แพร่หลายนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ส่งผลให้กระแสความนิยมในการบริโภคมะรุมเพิ่มมากขึ้น
และมีการบริโภคในปริมาณมากในรูปของผงมะรุมโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการได้รับปริมาณมากเกินไป
จากการศึกษาคุณสมบัติในการต้านภาวการณ์อักเสบของลำไส้ใหญ่ในฝักมะรุมต้ม
ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณการวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ พบว่า
ปริมาณการบริโภคมะรุมมีความสำคัญต่อการป้องกันและบรรเทาอาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่
โดยในทุกขนาดที่ทำการศึกษา คือ ตั้งแต่ 10-50 เท่าของปริมาณการบริโภคฝักมะรุมต้มในรูปอาหารของผู้ที่บริโภคฝักมะรุมต้มสุก
(ขนาดการบริโภคฝักมะรุมต้มเท่ากับ 2 กรัมต่อน้ำหนักตัวคน
1 กิโลกรัมต่อวัน)
หากให้กินก่อนในระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะได้รับสารก่อมะเร็งลำไส้ใหญ่จะสามารถลดความรุนแรงของพยาธิ
สภาพของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แต่ที่น่าสนใจคือในระยะที่เกิดโรคมะเร็งลำไส้แล้ว
การบริโภคฝักมะรุมหลังเกิดมะเร็งแล้วในปริมาณต่ำกลับให้ผลดีกว่าการบริโภคฝักมะรุมในปริมาณสูง
ผลการศึกษาจึงแสดงให้เห็นว่า
การบริโภคมะรุมเพื่อวัตถุประสงค์ในการบรรเทาอาการของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยการบริโภคฝักมะรุมในปริมาณมากก็ไม่ได้มีผลดีเสมอไป
จากการศึกษาคุณสมบัติในการต้านภาวะการอักเสบของมะเร็งลำไส้ใหญ่ของฝักมะรุมต้มเมื่อทำการทดสอบในหนูทดลองโดยสถาบันโภชนาการ
มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติและคณะสัตวแพทยศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การดำเนินการวิจัย ได้แบ่งการศึกษาเป็น 3 รูปแบบ คือ
1.
ศึกษาความปลอดภัยในการบริโภค
โดยให้หนูทดลองกลุ่มที่อายุน้อยกินฝักมะรุมต้มซึ่งอยู่ในรูปของผงมะรุมต้มผสมอาหารปกติเป็นระยะเวลา
5 สัปดาห์ และหนูกลุ่มที่โตเต็มที่แล้วกินฝักมะรุมต้มเป็นระยะเวลา 15
สัปดาห์ โดยแบ่งปริมาณการบริโภคเป็น 3 ระดับ
ได้แก่ 10 เท่า 25 เท่า และ 50 เท่าของปริมาณการบริโภคฝักมะรุมต้มของคนที่กินมะรุม
ซึ่งเป็นปริมาณที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปริมาณการบริโภคโดยทั่วไป
ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณฝักมะรุมต้มที่ให้ในทุกระดับจนถึงสูงสุด 50 เท่า ไม่มีผลต่อการส่งเสริมให้เกิดพยาธิสภาพของการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
ฝักมะรุม |
2.
ศึกษาการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
โดยหนูทดลองกลุ่มนี้กินผงมะรุมต้มผสมอาหารปกติในขนาดเดียวกันกับหนูกลุ่มแรกเป็นเวลานาน
2 สัปดาห์ก่อนหนูได้รับสารก่อมะเร็งและสารส่งเสริมการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และยังคงให้หนูกินผงมะรุมต้มต่อไปอีก
3 สัปดาห์ รวมเป็น 5 สัปดาห์
พบว่าสามารถลดความรุนแรงของพยาธิสภาพของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
เมื่อเทียบกับหนูกลุ่มที่ได้รับสารก่อมะเร็งและสารส่งเสริมการเกิดมะเร็งโดยไม่ได้รับอาหารที่ผสมผงมะรุมต้ม
โดยทุกขนาดของผงฝักมะรุมต้มที่หนูทดลองได้รับสามารถลดพยาธิสภาพของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
โดยเฉพาะในผงฝักมะรุมต้มที่มีปริมาณสูง (50 เท่า)
จะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ดีกว่าในปริมาณอื่น ๆ
ซึ่งส่งผลดีในด้านการป้องกันก่อนที่จะเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
3.
ศึกษาการบรรเทาอาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูทดลองที่ถูกกระตุ้นให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ก่อน
แล้วจึงให้กินฝักมะรุมต้มเป็นระยะเวลา 15 สัปดาห์ โดยแบ่งเป็น 3 ขนาดเช่นเดียวกับในหนูกลุ่มอื่น
ๆ ผลการศึกษากลับพบว่า ในทุก
ๆขนาดของการบริโภคฝักมะรุมสามารถลดความรุนแรงของภาวะการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
แต่มะรุมที่มีปริมาณต่ำ (10 เท่า)
กลับให้ผลดีกว่าการให้ผงฝักมะรุมต้มในปริมาณสูง (25 เท่าและ 50
เท่า)
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าปริมาณการบริโภคมะรุมในระยะที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้วมีความแตกต่างจากการกินระยะก่อนการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
ฉะนั้นการบริโภคฝักมะรุมในปริมาณมากก็ไม่ได้มีผลดีเสมอไป
โดยเฉพาะในรูปของการนำมาทำเป็นผงแห้งแล้วใส่แคปซูล หรือ
ในรูปสารสกัดมะรุมที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ซึ่งผลในด้านการรักษาหรือป้องกันโรคจะต่างกัน
เนื่องจากการนำมาสกัดจะมีสารสำคัญเพียงบางชนิดและอยู่ในรูปของสารเคมีที่มีความเข้มข้น
เมื่อกินอย่างต่อเนื่องในปริมาณสูง อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นพิษในร่างกาย
อีกทั้งยังไม่มีข้อมูลยืนยันจากการศึกษาในคน
ส่วนใหญ่มีเพียงข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในระดับหลอดทดลองและในระดับเซลล์เท่านั้น
เพื่อตอบสนองความนิยมในการบริโภคมะรุมและป้องกันความเสี่ยงจากการบริโภคมะรุมในปริมาณมากเกินจนอาจเสี่ยงต่ออันตรายของร่างกาย จึงควรบริโภคฝักมะรุมในรูปส่วนประกอบของอาหาร โดยส่งเสริมรายการอาหารที่ใช้ฝักมะรุมเป็นส่วนประกอบ เช่น แกงส้มมะรุมให้มีความแพร่หลายมากยิ่งขึ้น พร้อมสร้างสรรค์รายการอาหารใหม่ ๆ เช่น ยำ หรือแกงชนิด ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการบริโภคฝักมะรุมให้มากขึ้น นอกจากนั้นยังต้องกินอาหารที่มีผักและผลไม้ที่หลากหลายซึ่งอุดมด้วยสารพฤกษเคมีที่มีสารสำคัญในการออกฤทธิ์แตกต่างกัน ให้ผลในเชิงป้องกันโรคและให้คุณค่าทางโภชนาการด้านใยอาหาร ย่อมเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
เมื่อต้องการกินอาหารให้เป็นยา
ต้องไม่กินอาหารตามค่านิยมหรือความเชื่อ แต่ควรเลือกกินโดยใช้ความรู้
และรับข้อมูลจากหลาย ๆแหล่ง พร้อมศึกษาและชั่งน้ำหนักข้อมูลให้ดี
ใช่ว่าเมื่อกินอาหารชนิดนั้นในปริมาณมากแล้วจะส่งผลในด้านดีทั้งหมด
จึงต้องพิจารณาด้วยว่ากินส่วนไหน ปริมาณเท่าใด ความถี่มากน้อยเพียงไร
และในรูปแบบใด จึงจะสามารถป้องกันและรักษาโรคได้.
ที่มา: นวพรรษ บุญชาญ. คอลัมน์ คุณหมอขอบอก. หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน 2554
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น